คอลัมน์ "ขี่ม้าเลียบเมือง"
โดย...นายปกป้อง
ประวัติศาสตร์ คอกช้าง บ้านนานครนายก
ยุคสมัย ประวัติศาสตร์ (อยุธยา)
ที่ตั้ง บ้านป่าขะ ตำบลป่าขะ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก
รุ้ง ๑๔ องศา ๑๖ ลิปดา ๓๐ ฟิลิปดา เหนือ
แวง ๑๐๑ องศา ๐๔ ลิปดา ๑๗ ฟิลิปดา ตะวันออก
พิกัดกริด 47 PQR 235790
แผนที่ทหาร พิมพ์ครั้งที่ 1 RTSD ลำดับชุด L 7017 ระวาง 5237 IV
มาตราส่วน ๑ ; ๕๐,๐๐๐
ประวัติการศึกษา สำรวจ
วัน เดือนปี กรกฎาคม ๒๕๓๕
รับผิดชอบ โครงการสนองพระราชดำริ (นครนายก)
เอกสารอ้างอิง รายงานการสำรวจ
เส้นทางสู่แหล่ง ไปตามทางหลวง ๓๓ เมื่อถึงอำเภอบ้านนา แยกเข้าทางวัดสมอบุญคงและวัดทองย้อยไปอีกราว ๑.๕ กิโลเมตร จนถึงวัดไม้รวกและข้ามสะพานคอนกรีตเดินต่อไปจนถึงหมุดคอนกรีตของ ทบ. จะเป็นบริเวณพื้นที่เพนียดเดิม
ประวัติแหล่งโบราณคดี ในระหว่างศักราช ๑๐๖๙ ปีขาล นพศก (พ.ศ.๒๒๕๐) เดือน ๓ ข้างขึ้น สมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ พระกำแพงกรมช้างกราบทูลพระกรุณาว่า ช้างโขลงบ้านนานั้นตกลูกเนียมเข้าเพนียด ครั้นดำรัสทราบจึงเสด็จลงเรือพระที่นั่งล่องออกไปเพนียดเสด็จขึ้นสู่ปราสาทดำรัสให้คล้องช้างเนียมได้จึงสมโภช ๓ คืน แล้วขนานพระนามพระราชทานชื่อ “พระบรมไตรจักร” แม่ช้างเนียมนั้น ให้เอาทองคำเปลวปิดหูปล่อยไปช้างโขลงบ้านนาให้สิ้น และรับพระบรมไตรจักรเข้ามาไว้โรงมีซุ้มยอด อยู่เคียงสรรเพชญ์มหาปราสาท (พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ)
แต่พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวว่า จุลศักราช ๑๐๖๔ ปีมะเมีย จัตวาศก (พ.ศ.๒๒๔๕) ชาวโขลงบ้านแก่งนำโขลงเข้ามาแต่ท้องป่าต้นและกันเอาช้างพลายงาสั้นติดโขลงเข้ามาได้ตัวหนึ่ง สูงประมาณ ๖ ศอก ๕ นิ้ว สรรพด้วยคชลักษณ์งามบริบูรณ์และชักโขลงนั้นเข้ามา ณ เพนียดจึงพระราชวังเมืองนำเอาข่าวช้างสำคัญขึ้นกราบทูลพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไป ณ เพนียดทอดพระเนตรให้ชักช้างโขลงเข้าเพนียดและทรงพระกรุณาให้กันช้างสำคัญนั้นไว้ในวงพาด ให้ปรนปรือ ฝึกสอนให้คล่อง ชำนิชำนาญแล้วจึงนำเข้าไว้ ๆ โรงที่เพนียด ทรงพระกรุณาให้มีการมหรสพสมโภชสามวันแล้วให้นำ ลงสู่เรือขนานมีเรือคู่ชักแห่เป็นกระบวนเข้ามายังพระนคร ทรงพระราชทานนามพระบรมไตรจักร แล้วพระราชทานรางวับแก่นายโขลงโดยสมควร (พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ฯ หน้า ๑๗๕-๑๗๖) นอกจากนี้ยังเสด็จด้วยช้างพระที่นั่งแวดล้อมไปด้วยช้างท้าวพระยาเป็นอันมาก เที่ยวประพาสไปในอรัญประเทศและให้ช้างดั้งช้างกันและช้างเชือกบาศไล่ล้อมหมู่ช้างเถื่อนในป่าและซัดเชือกบาศคล้องช้างเถื่อนได้มาก และเสด็จไปตั้งล้อมช้างเถื่อนในป่า แขวงเมืองท่าโรงและป่าเพชรบุรี บางทีเสด็จเที่ยวประพาสไป ในท้องทุ่งทรงพระแสงปืนนกสับยิงต้องนานาสัตว์
ในระหว่างปีเถาะ ศักราช ๑๐๘๕ (พ.ศ.๒๒๖๖) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ (พระเจ้าท้ายสระและพระอนุชา) เสด็จพระราชดำเนินไปประพาสโพนช้างป่า หัวเมืองนครนายกฝ่ายตะวันออก ในเพลาราตรีนั้นเดือนหงาย เสด็จไปไล่ช้างเถื่อนพระจันทร์เข้าเมฆ ช้างพระอนุชาธิราชขับแล่นตามไปทันช้างพระที่นั่งทรงไม่ทันจะรั้งรอ ช้างพระที่นั่งกรมพระราชวังโถมแทงเอาช้างพระที่นั่ง ควาญท้ายช้างนั้นกระเด็นตกจากช้างนั้นลง ช้างทรงเจ็บฝ่ายมากก็ซวนเซแล่นเข้าป่า สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินจึงขับช้างนั้นกลับมายังพลับพลาชัย (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ฯ หน้า ๒๐๔)
ครั้งหนึ่งเสด็จพระราชดำเนินไปประพาสโพนช้างป่าตะวันออก ครั้นเพลาพลบค่ำ เดือนหงายรุบรู่ เสด็จโพนไปพบช้างพระที่นั่งไล่ไปก่อน ช้างกรมพระราชวังบวรสถานมงคลว่าตามแทงท้ายช้างพระที่นั่งทรง จนควาญพลัดตกช้างพระที่นั่งวิ่งเข้าชัฏไม่ได้ (พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ หน้า ๒๗๓)
อนึ่ง ณ วันเสาร์ ขึ้น ๔ ค่ำเดือน ๒ ปีจอ อัฐศก จุลศักราช ๑๑๒๘ (พ.ศ.๒๓๐๙) ขณะเมื่อกรุงเทพมหานครยังมิได้เสียนั้น พระเจ้าอยู่หัวอันมีอภินิหารนับในเนื้อพุทธรางกูรเจ้าตรัสทราบพระญาณว่ากรุงศรีอยุธยาจะเป็นอันตราย จึงอุตสาหะด้วยกำลังกรุณาแก่สมณพราหมณาจารย์และพระบวรพุทธศาสนา จึงเลื่อมสูญจึงชุมนุมพรรคพลทหารไทยจีนประมาณ ๑,๐๐๐ เศษ สรรพด้วยเครื่องศาสตาวุธต่าง ๆ และประกอบด้วยทหารผู้ใหญ่ แล้วยกไปตั้ง ณ วัดพิชัยฝ่ากองทัพพม่าได้รบกันเป็นสามารถ พม่าถอยไปจึงดำเนินพลทหารไปตามทางบ้านข้าวเม่าสำบัญฑิต ป้านโพสาวหาญ และรุ่งขึ้นวันจันทร์ ขึ้น๖ ค่ำ เดือน ๒ “ขุนชำนาญไพรสณฑ์และนายกองช้างสามิภักดิ์เอาช้างมาถวายพลาย ๕ พัง ๑ “นำเสด็จไปบ้านบางดง จึงยกพลทหารมาประทับตำบลหนองไม้ ทรุง ตามทางเมืองนครนายกและบ้านนาเริ่ง (พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี หน้า ๑๓-๑๖)
ในประเทศไทยมีช้างป่ากระจายอยู่ทั่วไปทุกมณฑล ในมณฑลกรุงเทพ ฯ เดิมมีช้างป่าอยู่ในทุ่งหลวง (ทุ่งรังสิต) ทางภาคตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่เขตจังหวัดนครนายกตลอดลงมาจนทุ่งบางกะปิในแขวงจังหวัดกรุงเทพ ฯ เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้กล่าวว่า เมื่อพระองค์บรรพชา พ.ศ.๒๔๒๖ ได้ขึ้นไปจำพรรษาอยู่ที่วัดนิเวศน์ธรรมประวัติที่บางประอิน ตอนเย็นได้ขึ้นไปบนพระที่นั่งเวหาศจำรูญยังเห็นโขลงช้างป่าเข้ามาหากินบริเวณปลายนา ต่อมามีคนถางป่าพงที่ช้างอาศัยทำนารุกเข้าไป ช้างป่าจึงหนีห่างแม่น้ำออกไป โดยในระหว่างการขุดคลองรังสิตและคลองนา สายอื่น ๆ ในทุ่งหลวง (ทุ่งรังสิต) ช้างป่าก็ถอยออกไปและไปอยู่ในทุ่งหลวงตอน แขวงจังหวัดนครนายก โดยมากในบริเวณใกล้กรุงเทพ ฯ ลดน้อยลง ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเดินทางไปนครนายกและจอดเรือพักแรมที่อำเภอบางอ้อ เวลาใกล้ค่ำเห็นช้างป่าที่ปลายนาฟากตะวันออกโขลงใหญ่ พอค่ำพวกชาวบ้านก่อกองไฟรามตามปลายนา เพราะในฤดูทำนาตั้งแต่ข้าวตั้งกอ จวนจะออกรวง ช้างป่าเข้ามากินข้างเสมอจึงต้องก่อกองไปทุกคืน เนื่องจากช้างป่ากลัวไฟ ในเวลากลางวัน จะไม่พบเห็นช้างป่าซึ่งไม่รู้ว่าหลบหนีไปไหน แต่เวลาพลบค่ำจะย่องเข้ามาและถอนข้าวกินคืนละหลายไร่
เมื่อพระองค์เสด็จเมืองปาจีนบุรีทางคลองรังสิต ระหว่างที่เรือไฟจูงเรือถึงลำน้ำองครักษ์มักจะพบเห็นช้างป่า ๔-๕ ตัว กำลังว่ายข้ามลำน้ำผ่านหน้าเรือในระยะใกล้ ๆ ต้องเปิดแตรไล่ พวกช้างป่าก็จะรีบว่ายน้ำขึ้นฝั่งวิ่งหนีไป เมื่อช้ากำลังว่ายน้ำและขาหยั่งไม่ถึงดินจะทำอันตรายใครไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ช้างป่าในทุ่งหลวงต่างจากช้างป่าในที่อื่น ๆ เพราะเป็นโขลงช้างหลวงสำหรับจับใช้ในราชการ อาศัยอยู่ในทุ่งหลวงต่อเนื่องมาหลายร้อยปี และมีการต้อนเข้าเพนียดเพื่อเลือกจับบ้างส่วนที่เหลือปล่อยกลับไปทุ่งหลวง อันเป็นประเพณีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ซึ่งช้างป่าในทุ่งหลวงคล้ายกับเลี้ยงไว้สำหรับจับที่เพนียด และเมื่อมากพอจึงจะจับ ซึ่งใช้วิธีการตำราหลวง ต่างจากการจับช้างของหมอช้างทั่วไป โดยการเลือกช้างที่มีลักษณะใช้ในการสงครามและฝึกซ้อมผู้ขี่ช้างและการฝึกหัดช้างต่อ พระเจ้าแผ่นดินมักจะเสด็จบัญชาการคล้องด้วยพระองค์เอง สมัยพระเจ้าเสือและพระเจ้าท้ายสระ เป็นต้น จึงมีเพนียดใกล้พระนคร
เมื่อราชธานีย้ายมาอยู่กรุงเทพ ฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทอดพระเนตร ไม่สะดวกจึงทรงโปรดให้เจ้านายต่างกรมและผู้บัญชาการกรมพระคชบาลไปทรงบัญชาการจับช้าง
ดังมีบันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวต่อไปนี้
- กรมหลวงเทพพลภักดิ์ ทรงบัญชาการเมื่อรัชการที่ ๑ ,๒
- กรมหลวงรักษ์รณเรศ ทรงบัญชาการเมื่อรัชการที่ ๓
- สมเด็จเจ้าฟ้ากรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ ทรงบัญชาการเมื่อรัชการที่ ๔ และในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เสด็จทอดพระเนตร โดยเรือกลไฟและกำหนดจับ ๓ ปีครั้งหนึ่ง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๕ ก็โปรดเสด็จไปทอดพระเนตรและมีการจับช้างป่าให้แขกเมือง (ชาวต่างประเทศ) ชมกันและได้รับการยกย่องว่าเป็นกีฬาที่ดีเลิศไม่มีในประเทศอื่นอย่างไรก็ตามการจับช้างป่าก็ลดลงเป็นลำดับ เพราะฝูงช้างในทุ่งหลวงกีดขวางการทำนา โดยเฉพาะเมื่อสร้างทางรถไฟผ่านทุ่งหลวงไปเป็นการยากในการต้อนโขลงช้างผ่านทางรถไฟมายังเพนียด และในพ.ศ. ๒๔๕๐ เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เสด็จยุโรปครั้งหลังนั้น ช้างป่าในทุ่งหลวง เชือกหนึ่งคงจะตกน้ำมันขึ้นไปยืนบนทางรถไฟที่เชียงราก รถไฟบรรทุกสินค้าจึงชนช้างตายและรถไฟก็ตกราง ด้วยเหตุจึงต้องต้อนช้างป่าในทุ่งหลวงไปอยู่ในป่าเชิงเขาใหญ่เขตจังหวัดนครนายก และการจับช้างป่าที่เพนียดก็เลิกไป ช้างป่าก็ไม่มีในมณฑลกรุงเทพ ฯ (กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ๒๗๓- ๒๗๖)
- กลุ่มชาวบ้านนาได้กล่าวว่าเมื่อประมาณ ๗๐-๘๐ ปี ในเขตจังหวัดนครนายกโดยเฉพาะเขตอำเภอบ้านนา มีโขลงช้างป่าจำนวนมากหากินอยู่ในบริเวณทุ่งบ้านนา มักจะผ่านให้ชาวบ้านนา พบเห็นเสมอ ๆ และในระหว่างที่ข้าวออกรวงก็จะเข้ามากินข้าวในตอนกลางคืน บางครั้งหมดเป็นไร่ ๆ ต้องใช้การจุดไฟไว้ตามคันนาเพื่อไล่ช้างไม่ให้เข้ามาใกล้นา เส้นทางที่ช้างป่ามักจะผ่านในเขตบ้านนาและอำเภอปากพลี
- วัดอัมพวัน หมู่ ๘ ต.บางอ้อ อ.บ้านนา จ.นครนายก : ซึ่งบริเวณนี้เป็นป่าอ้อสูงท่วมหลังช้าง เช่น โขลงอีด้วน โขลงอีแก เป็นต้น และยังมีสัตว์ป่าอื่น ๆ หลายชนิด
- วัดวังบัว หมู่ ๑๑ ต.พิกุลออก อ.บ้านนา จ.นครนายก บริเวณนี้มีบึงขนาดใหญ่เรียก “ลำบัว” ช้างป่ามักจะเดินผ่านหน้าวัด เข้าไปหากินในท้องทุ่งระหว่างคลอง ๓๑-๓๒ ซึ่งเป็นป่าอ้อ และทุ่งใหญ่อันเป็นที่หากินของช้างป่า เส้นทางเดินของช้างป่าจะไปถึงดงละครและทุ่งบริเวณรอบนอกยังมีพวกเนื้อสมัน มีก่องเขามาก มีกไม่ชอบอยู่ในป่าเพราะเขาจะติดกิ่งไม้ ในขณะที่มีควาญของชาวบ้านอยู่ในทุ่ง โขลงช้างป่าจะไม่เข้ามาใกล้และโขลงช้างป่ามักจะชอบไปกินในป่าอ้อ ป่าพง ป่าขนาก
- วัดบ้านพริก บ้านชายลำ หมู่ ๔ ต.บ้านพริก อ.บ้านนา จ.นครนายก บริเวณนี้มีทุ่งขนาดใหญ่เรียก “ทุ่งหนองอ้ายได” เป็นป่าปรือขนาดใหญ่ โขลงช้างจะผ่านวัดบ้านพริกไปทางหนองอ้ายได
- วัดเกาะกา หมู่ ๑ ต.ท่าเรือ อ.ปางพลี จ.นครนายก พื้นที่บริเวณนี้เป็นป่าไผ่และไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ก็มีบ้าง กลุ่มชาวบ้านที่เป็นเชื้อสายเวียงจันทร์เมืองเชียงขวาง พวนและภูไท ซึ่งเจ้าพระยาบดินทรเดชา กวาดครัวลงมาจากการศึกสงครามกับพวกฮ่อ เมื่อเข้าเขตไทยก็ปล่อยครัวให้อยู่ในบริเวณนี้ พวกชาวบ้านต้องขุดคู โดยรอบที่พักอาศัยเพื่อป้องกันช้างป่า
- นอกจากนี้ในบริเวณเขตบ้านนายังมีเพนียดคล้องช้างหรือชาวบ้านเรียกว่า “โรงช้าง” ซึ่งยังมีกลุ่มชาวบ้านที่กล่าวยืนยันเรื่องการไล่ช้างป่าเมื่อประมาณ ๗๐-๘๐ ปีก่อน จากบริเวณป่าหรือป่าอ้อในเขตอำเภอองครักษ์และอำเภอบ้านนาในปัจจุบัน โดยผ่านเส้นทางดังนี้ คือ องครักษ์ ,วัดอัมพวัน ,วัดทางหลาง , คลอง ๓๐-๓๑ ,วัดวังบัว ,วัดหนองคันจาม ,วัดบ้านพริก ,หนองกระเริ่ง ,วัดช้าง ,บ้านนา (วัดทองย้อย) ,ป่าขะ (บ้านทุ่งกระโปรง) ,เข้าเพนียด (หลังวัดไม้รวกปัจจุบัน)
|